วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

การศึกษาปฐมวัยในอนาคต

       ประเทศที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้ความสำคัญกับเงินและมนุษย์เป็นอย่างมากโดยเฉพาะมนุษย์ที่สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองให้มีประสิทธิภาพเพื่อปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ 
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่าศักยภาพของมนุษย์ในสังคมนั้นจะบอกถึงสถานภาพความมั่นคงของสังคมนั้น ศักยภาพของมนุษย์อยู่ที่การทำงานของสมอง ประเทศใดให้ความสำคัญในการพัฒนาสมองของคนหรือการคิดของคนในประเทศนั้นจะได้รับการพัฒนา
ช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับการเรียนรู้ของมนุษย์คือ แรกเกิดถึง 7 ปี หากส่งเสริมภายหลังจากวัยนี้แล้วถือได้ว่าสายเสียแล้ว เพราะการพัฒนาสมองของมนุษย์ในช่วงวัยนี้สามารถพัฒนาไปถึง70 % ควรจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับวัยของเด็ก ให้เด็กเรียนรู้ผ่านการเล่น เรียนรู้อย่างมีความสุข จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ดูแลด้านสุขนิสัยและโภชนาการเหมาะสม เด็กจึงจะพัฒนาศักยภาพสมองของเขาได้อย่างเต็มความสามารถ
สมองของเด็กเรียนรู้มากกว่าสมองของผู้ใหญ่เป็นพันๆเท่า เด็กเรียนรู้ทุกอย่างที่เข้ามาปะทะ สิ่งที่เข้ามาปะทะล้วนเป็นข้อมูลเข้าไปกระตุ้นสมองเด็กทำให้เซลล์ต่างๆเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อต่างๆอย่างมากมายซึ่งจะทำให้เด็กเข้าใจและเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น สมองจะทำหน้าที่นี้ไปจนถึงอายุ 10 ปีจากนั้นสมองจะเริ่มขจัดข้อมูลที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันทิ้งไปเพื่อให้ส่วนที่เหลือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การศึกษาปฐมวัยมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนามาจากทฤษฎีและแนวคิดของนักทฤษฎีผู้ที่ศึกษาและเข้าใจในธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กวัยแรกเกิดถึง 8 ปี มานานนับศตวรรษ ต่อมาได้มีความคิดใหม่เกิดขึ้น และมีหลายแนวคิดที่สอดคล้องและมีความเห็นในหลักการพัฒนาเด็กตามที่เคยเชื่อถือและเคยปฏิบัติมาแต่เดิม จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นเนื่องจากอิทธิพลทางสังคม ความคาดหวังต่างๆ ที่ทำให้นักการศึกษาหลายกลุ่มได้พยายามแสวงหาแนวคิดและสร้างองค์ความรู้ใหม่ โดยอาศัยหลักความเชื่อ หลักทฤษฎีที่ว่าด้วยพัฒนาการเด็กและการเรียนรู้เป็นฐาน นักการศึกษาหลายกลุ่มได้นำรูปแบบการสอนตามความเชื่อและเหตุผลเชิงทฤษฎีไปปฏิบัติติดตามผล มีรายงานการวิจัยเผยแพร่ในวงการศึกษาปฐมวัยซึ่งกระตุ้นให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนตื่นตัวในการจัดการศึกษาเพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาด้านต่างๆ มากขึ้น การจัดการศึกษาปฐมวัยมีองค์ประกอบสำคัญ คือ เด็กปฐมวัย ผู้ปกครอง ชุมชนและสังคม ครูปฐมวัย การจัดหลักสูตร การจัดการเรียนรู้ การบริหารจัดการ
การศึกษาปฐมวัยในอนาคตเกี่ยวข้องกับศึกษาอดีต ปัจจุบันและมองภาพข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไรที่จะทำให้การจัดการศึกษาปฐมวัยมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพในทุกด้าน ผู้เขียนขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวในแต่ละด้านดังนี้
เด็กปฐมวัย เด็กปกติและเด็กที่มีความต้องการพิเศษต้องได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมตั้งแต่ในครรภ์มารดา จนถึงอายุ 6 ปี เด็กได้รับการดูแลและส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านคือ พัฒนาการทางสติปัญญา ร่างกาย อารมณ์ สังคม คุณธรรมจริยธรรม เรียนรู้วัฒนธรรมและภูมิปัญญา เน้นสิทธิเด็กเพื่อให้เด็กได้รับการดูแลช่วยเหลือ ได้รับการปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยทั้งกายและจิตใจ ส่งเสริมให้ได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพ พ่อแม่และครอบครัวมีส่วนร่วมดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากสถานรับเลี้ยงเด็ก โดยผู้ทำหน้าที่ดูแลเด็กจะต้องมีความรู้ทางการศึกษาปฐมวัย ส่วนเด็กอายุ 3 – 5 ปีที่ได้รับการพัฒนาจากสถานศึกษา/ศูนย์พัฒนาเด็กกำหนดให้ผู้ทำหน้าที่ดูแลและให้การศึกษาแก่เด็กต้องมีความเป็นมืออาชีพและมีความรู้ทางการศึกษาปฐมวัย เด็กดำเนินชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและเอื้อต่อการเรียนรู้ ได้รับบริการที่มีคุณภาพด้านสุขภาพทางกายและจิตใจอย่างสม่ำเสมอ ได้รับการแก้ปัญหาข้อบกพร่องอย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์

ผู้ปกครองชุมชนและสังคม(ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย) ได้รับความรู้ความเข้าใจและมีทักษะในการอบรมดูแล จัดประสบการณ์และจัดสภาพแวดล้อมในเด็กอย่างเหมาะสมกับระดับพัฒนาการ โดยสามารถเข้าถึงความรู้จากสื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร โปสเตอร์ แผ่นพับ รายการวิทยุโทรทัศน์ Website โรงเรียนมีบทบาทสำคัญในการจัดกิจกรรมการให้การศึกษาแก่พ่อ แม่และผู้ปกครองในรูปแบบ การประชุมกลุ่มใหญ่ กลุ่มเล็ก กิจกรรมสัมพันธ์บ้านกับโรงเรียน แผ่นพับและจัดกิจกรรมแนะแนวความรู้ทางการศึกษาปฐมวัยแก่ผู้ปกครอง ชุมชนและสังคม ส่งเสริมให้ผู้ปกครองร่วมประเมินผลพัฒนาการเด็ก ผู้ปกครอง ชุมชนและสังคมมีส่วนร่วมสนับสนุนกิจกรรมการเรียนการสอนและพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สถานพัฒนาเด็กและโรงเรียนระดับปฐมวัยมีชมรมหรือสมาคมผู้ปกครองร่วมมือกับโรงเรียนเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็ก นอกจากนี้สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการปกป้องคุ้มครองสิทธิ เฝ้าระวังและร่วมพัฒนาเด็กโดยวิธีเผยแพร่ความรู้และทักษะในการอบรมเลี้ยงดูเด็ก กระตุ้นในสังคมเห็นความสำคัญของการพัฒนาเด็ก

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559

การเล่นของเด็กปฐมวัย

                                                        การเล่นของเด็กปฐมวัย


การเลือกของเล่นให้เด็กเป็นเรื่องที่พ่อแม่หลายคนให้ความสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย และผลต่อพัฒนาการที่จะตามมา ในขณะที่ผู้ผลิตของเล่นต่างแข่งขันผลิตออกมาขายจำนวนมาก บางครั้งผู้บริโภคไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์ใดที่เหมาะกับเด็ก หรือแม้แต่คำอธิบายจากตัวสินค้าก็ไม่ละเอียดพอที่จะเข้าใจ ทำให้บางคนซื้อของเล่น ให้ลูกเพราะคิดว่ามันน่าจะดีเท่านั้นรศ.ดร.จิตตินันท์ เดชะคุปต์ สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อธิบายว่า ช่วงชีวิตของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปฐมวัย นับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี ถือได้ว่าเป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุดของการเจริญเติบโตและพัฒนาการทุกๆ ด้านของมนุษย์ ทั้งนี้ การเล่นและของเล่นเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย นับเป็นหัวใจสำคัญของการเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้และพัฒนาการที่สอดคล้องกับธรรมชาติ และความต้องการของเด็กวัยนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองและผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย ควรมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับความสำคัญของการเล่นและของเล่นที่เหมาะสมรศ.ดร.จิตตินันท์ บอกว่า เด็กปฐมวัยจะมีความสุขสนุกสนานกับการเล่นในชีวิตประจำวันตามความสนใจและความพอใจของตนเอง ขณะที่เล่นนั้นเด็กได้ใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในการสำรวจคุณสมบัติของสิ่งที่เล่น ไม่ว่าจะเป็นคนที่เล่นด้วยหรือวัตถุสิ่งของหรือของเล่น พร้อม ๆ ไปกับการรับรู้สิ่งที่เล่นผ่านอวัยวะรับสัมผัสต่าง ๆ เข้าสู่กระบวนการทำงานของสมองในการจดจำเป็นข้อมูลความคิดความเข้าใจต่อสิ่งนั้น
เด็กจะค่อยๆซึมซับและเรียนรู้สิ่งต่างๆผ่านปฏิสัมพันธ์กับคนเล่นหรือของเล่น โดยเฉพาะเมื่อเด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเองและมีผู้คอยชี้แนะให้ข้อมูลหรือสอนให้รู้จักคำบอกของชื่อเรียกสิ่งต่างๆรอบตัว หรือความหมายของสิ่งเหล่านั้นทีละเล็กละน้อย จากเรื่องที่ง่ายๆไปสู่เรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น ตามความสามารถของวัย”
 การเลือกของเล่นที่ดีเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ตามศักยภาพของเด็ก จึงนับเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งที่ควรคำนึงถึง เนื่องจากของเล่นเป็นสื่อกลางช่วยเปิดโลกภายในของเด็กออกสู่ภายนอก ทำให้เด็กได้ค้นพบความสามารถหรือความถนัดของตนเองด้วยตนเอง และเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กใฝ่เรียนใฝ่รู้ มีความกระตือรือร้น ทว่าการเล่นของเล่นจะปราศจากความหมาย หากเด็กไม่ได้รับความสนใจเอาใจใส่จากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูใกล้ชิดในการดูแลเรื่องความปลอดภัย ตลอดจนการชี้แนะหรือเล่นร่วมกับเด็กเมื่อเด็กต้องการ






รศ.ดร.จิตตินันท์ ได้อธิบายถึงพฤติกรรมการเล่นของเด็ก ว่า เด็กวัย 0-1 ปี เด็กวัยนี้ในช่วงแรกเกิด – 3 เดือน จะยังไม่สนใจกับการเล่นมากนัก แต่เด็กจะเริ่มพัฒนาประสาทสัมผัสการมองเห็นและการได้ยิน การแขวนของเล่นที่สดใสที่แกว่งไกวแล้วมีเสียงกรุ๋งกริ๋งช่วยให้เด็กกรอกสายตา ส่วนเด็กวัย 1-2 ปี เด็กวัยนี้เริ่มเดินได้เองบ้างแม้จะไม่มั่นคงนักแต่ก็ชอบเกาะเครื่องเรือนเดินจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ของเล่นควรเป็นประเภทที่ลากจูงไปมา
 ได้ ประเภทรถไฟหรือรถลากสำหรับเด็กวัย 2-4 ปี เด็กวัยนี้อยากรู้อยากเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เด็กเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น และทรงตัวได้ดีเพราะกล้ามเนื้อแขนขาแข็งแรงขึ้นมาก ทำให้ชอบเล่นที่ออกแรงมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิ่งเล่น กระโดด ปีนป่าย ม้วนกลิ้งตัว เตะขว้างลูกบอล และขี่จักรยานสามล้อ ส่วนเด็กวัย 4-6 ปี เด็กวัยนี้มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ มากขึ้น ชอบเล่นกลางแจ้งกับเครื่องเล่นสนามและเครื่องเล่นที่มีลูกล้อขับขี่ได้ เด็กพอใจที่จะเล่นกับ
 เพื่อนเป็นกลุ่มมากขึ้น นอกจากนี้ กิจกรรมการเล่นที่เหมาะสม ในเด็กวัย 0 – 1 ปี ควรจัดให้เป็นการเล่นหยอกล้อเด็กด้วยคำคล้องจองมีการแสดงสีหน้าท่าทางและใช้เสียงสูง ๆ ต่ำ ให้เด็กสนใจ เช่น การเล่นปูไต่ การเล่นจ๊ะเอ๋ การเล่นจับปูดำ การเล่นซ่อนหาของ เป็นต้น ส่วนเด็กวัย 1-2 ปี ควรจัดให้เป็นการเล่นสำรวจที่ใช้ประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การให้เด็กบริหารแขนขา การเล่นดิน-ทราย-น้ำ การหยิบของตามคำบอก เป็นต้นสำหรับเด็กวัย 2-4 ปี ควรจัดให้เด็กใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ออกมาเป็นการแสดง บทบาทสมมติหรือผลงานทางศิลปะ เช่น การเล่นเป็นพ่อแม่ การเล่นขายของ การเล่นสร้างงานศิลปะ เป็นต้น และเด็ก4-6 ปี ควรจัดให้เป็นการเล่นที่เด็กสามารถสะท้อนความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กเรียนรู้ เช่น การวาดภาพและเล่าเรื่องราว การแสดงบทบาทสมมติ การเล่นที่ใช้ทักษะการสังเกตเปรียบเทียบ
รศ.ดร.จิตตินันท์ แนะนำหลักการเลือกของเล่นสำหรับเด็กปฐมวัยอย่างง่ายๆ4ข้อคือ 1. ต้องดูที่ความ
 ปลอดภัยในการเล่นของเล่นอาจทำด้วยไม้ ผ้า พลาสติก หรือโลหะที่ไม่มีอันตรายเกี่ยวกับ
 ผิวสัมผัสที่แหลมคมหรือมีชิ้นส่วนที่หลุดหรือแตกหักง่าย ตลอดจนทำด้วยวัสดุที่ไม่มีพิษมีภัยต่อเด็ก 2.ประโยชน์ในการเล่น ของเล่นที่ดีควรช่วยเร้าความสนใจของเด็กให้อยากรู้อยากเห็น มีสีสันสวยงามสะดุดตาเด็ก มีการออกแบบที่ส่งเสริมให้เด็กใช้ความคิดและจินตนาการ ช่วยในการพัฒนากล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหว
 3.ประสิทธิภาพในการใช้เล่น ควรมีความยากง่ายเหมาะกับระดับอายุและความสามารถตามพัฒนาการของเด็ก ของเล่นที่ยากเกินไปจะบั่นทอนความสนใจในการเล่นของเด็กและทำให้เด็กรู้สึกท้อถอยได้ง่าย ส่วนของเล่นที่ง่ายเกินไปก็ทำให้เด็กเบื่อไม่อยากเล่นได้ และ4.ความประหยัดทรัพยากร ของเล่นที่ดีไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงหรือผลิต


 ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยยกตัวอย่างของเล่นที่ฝึกทักษะการเคลื่อนไหวและการพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เช่น เครื่องเล่นสนามประเภท เสาชิงช้า ราวโหน ไม้ลื่น ไม้กระดาน อุโมง บ่อทราย เครื่องเล่นที่มีล้อเลื่อนได้ เป็นต้น ของเล่นที่ฝึกทักษะการใช้กล้ามเนื้อมือและนิ้วมือ เช่น ของเล่นประเภทบีบ ตี เขย่า สั่น หมุน บิด ดึง โยน ผลัก เลื่อน เป็นต้น ของเล่นที่ฝึกทักษะการใช้สายตาและมือให้สัมพันธ์กัน เช่น ของเล่นประเภทตอก กด ตี ปัก เย็บ ผูก กระดานปักหมุด ผูกเชือก ผูกโบว์ กรอกน้ำใส่ขวด เป็นต้น ของเล่นที่พัฒนาทักษะทางภาษา เช่น ภาพสัตว์ ผลไม้ ตัวพยัญชนะ เทปเพลง เป็นต้น ของเล่นที่ฝึกการสังเกต เช่น โดมิโน กระดานต่อภาพ กล่องหยอดบล็อกต่าง ๆ

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ปฐมวัย

หลักการและความสำคัญ
 
         วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์ ตลอดชีวิตของทุกคนต่างก็มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น  การเรียนรู้วิทยาศาสตร์จึงมีความสำคัญที่จะทำให้คนได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะที่สำคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและ มีประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ช่วยให้คนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์ขึ้น รวมถึงการนำความรู้ไปใช้อย่างสร้างสรรค์ มีเหตุผล มีคุณธรรม นอกจากนี้ยังช่วยให้คนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ การดูแลรักษาตลอดจนการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ควรเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมมีประสบการณ์ตรง ได้ลงมือปฏิบัติจริงโดยมีครูเป็นผู้ตอบสนองความสนในของเด็กและส่งเสริมการจัดโครงสร้างความคิดจากประสบการณ์ เพื่อพัฒนามุมมองและความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงการส่งเสริมทัศนคติเกี่ยวกับการดูแลและมีความรับผิดชอบที่รักษาสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวอย่างเหมาะสมตามวัย
อย่างไรก็ตาม การจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยยังไม่ได้รับการส่งเสริมให้แพร่หลายอาจเนื่องด้วยการศึกษาปฐมวัยมิได้เป็นการศึกษาภาคบังคับและในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยได้กำหนดกรอบสาระของหลักสูตรไว้กว้างๆทำให้สาระของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ไม่มีความชัดเจน สสวท.จึงร่วมกับกลุ่มนักวิชาการ พัฒนากรอบมาตรฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ปฐมวัยขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยที่สอดคล้องกับหลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2546 และอยู่บนพื้นฐานของมาตรฐานการเรียนรู้การศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 โดยมีหลักในการเลือกเนื้อหา 3 ประการดังนี้
1.ขอบเขตเนื้อหาวิทยาศาสตร์
2.ความเหมาะสมต่อพัฒนาการและความสามารถในการเรียนรู้ของเด็ก
3.สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้
ทั้งนี้มีจุดมุ่งหมายให้ครูผู้สอนได้นำไปจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาความรู้ รวมถึงการพัฒนากระบวนการคิด กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา ตลอดจนมีจิตวิทยาศาสตร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ระดับปฐมวัยและเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการศึกษาในระดับต่อไป
เป้าหมายสำคัญในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์คือ
1.แสดงความตระหนักรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นผ่านการลงมือปฏิบัติ การสำรวจ การสังเกต การตั้งคำถาม และการแลกเปลี่ยนสิ่งที่ค้นพบ
2.ดำเนินการสืบเสาะหาความรู้อย่างๆด้วยตนเอง อย่างเสรีและตามแยยที่กำหนดให้
3.แสดงความเข้าใจและรู้จักดูแลรักษาธรรมชาติ
4.สืบค้นและสนทนาเกี่ยวกับลักษณะและองค์ประกอบของสิ่งต่างและใช้สิ่งเหล่านั้นได้อย่างปลอดภัย
5.รู้และสามารถใช้สิ่งของที่เป็นเทคโนโลยีอย่างง่ายๆได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย
6.เพื่อให้มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์
บทบาทการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ระดับปฐมวัย
1.การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ระดับปฐมวัย ช่วยให้เด็กได้พัฒนาความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกรอบตัว  เด็กจะได้รับการส่งเสริมและตอบสนองต่อคำถามที่เกิดขึ้นระหว่างการสำรวจสิ่งต่างๆรอบตัวของตนเองอย่างเหมาะสม
2.การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ระดับปฐมวัย ช่วยให้เด็กได้พัฒนาคุณลักษณะตามวัยที่สำคัญ 4 ด้านได้แก่ ด้านร่างกาย การจัดกิจกรรมให้เด็กได้สำรวจสิ่งต่างๆรอบตัว เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าและใช้อุปกรณ์สำรวจอย่างง่าย ซึ่งเป็นการพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก  ด้านอารมณ์และจิตใจ การจัดกิจกรรมสำรวจและทดลอง เด็กได้รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง รู้จักใช้เหตุผล กล้าตัดสินใจ ได้แสดงผลงานและความสามารถจากการสำรวจด้านสังคม เด็กได้ฝึกการช่วยเหลือตนเองในการทำกิจกรรม รู้จักทำงานร่วมกับเพื่อน รู้จักการให้และการรับ ฝึกการปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือข้อตกลงร่วมกัน และเห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อมรอบตัวและช่วยกันดูและรักษา ด้านสติปัญญา เด็กได้พัฒนาความสามารถในการถามคำถามเชิงวิทยาศาสตร์ การค้นหาคำตอบด้วยวิธีการต่างที่เหมาะสมกับวัย ได้บอกลักษณะของสิ่งที่สำรวจพบด้วยคำพูด การวาดภาพ ได้เรียนรู้ใหม่และบอกวิธีการเรียนรู้ของตนเอง
3.การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ระดับปฐมวัย ช่วยให้เด็กได้มีโอกาสใช้จิตนาการและความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ในการออกแบบและสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ตลอดจนคิดวิธีการแก้ปัญหาต่างๆตามวัยและศักยภาพผ่านทางการเล่นทางวิทยาศาสตร์
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ระดับปฐมวัยควรส่งเสริมด้านต่างๆดังนี้
1.สนับสนุนและส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก
2.สนับสนุนและส่งเสริมความต้องการในการตั้งคำถาม
3.ส่งเสริมการใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนรู้ สำรวจ ตรวจสอบ จำแนกสิ่งต่างๆ
4.ส่งเสริมกระบวนการคิด
5.ส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์
6.ส่งเสริมความสนใจในการดูแลและรับผิดชอบต่อสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว
7.เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความรู้สึกชื่นชมยินดีในธรรมชาติ
การพัฒนาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์สามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยวิธีการที่หลากหลายที่เกี่ยวข้องกับการตั้งคำถาม การทดลอง การสังเกตและการหาข้อสรุปซึ่งเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือวิธีการแก้ปัญหา ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ระดับปฐมวัย ควรให้เด็กได้ตระหนักถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ต่อไปนี้
1.เราต้องการค้นหาอะไร
2.เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อการค้นหานี้
3.เราเห็นอะไรเกิดขึ้นบ้าง
4.สิ่งต่างๆเหล่านี้บอกอะไรแก่เราบ้าง
ผลที่ได้รับจากการศึกษาเอกสารแนวทางการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ปฐมวัยคือได้ทราบ
หลักการและความสำคัญ เป้าหมาย บทบาทการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ระดับปฐมวัย และแนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ซึ่งจะได้นำแนวทางนี้ไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ต่อไป
เอกสารอ้างอิง  สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  แนวทางการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ปฐมวัย ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2546

โดยมิส  วัลลภา    ขุมหิรัญ
งานงานแผนกปฐมวัย
อ้างอิงแผนงาน : -
อ้างอิงโครงการ : -
แหล่งที่มา: เอกสารอ้างอิง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แนวทางการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ปฐมวัย ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2546

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559

เล่นแบบไทยสุขใจกับธรรมชาติ

.................“ขุดคลองในดิน นำน้ำมาใส่ให้ไหลมาในคลอง แล้ววิ่งไปเก็บกิ่งไม้ที่พุ่มไม้ วิ่งกลับมา ‘ปลูก’ ไว้ริมคลองนี่คือการสัมผัสครั้งแรกกับงานชลประทาน และการปลูกป่า”.......... 

การเล่นสร้างเขื่อนจากดินและน้ำเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเยาว์ กลายเป็นพระราชภารกิจยิ่งใหญ่ในการนำพาชาวไทยให้ดำรงชีวิตอย่างผู้มีปัญญา ตามแนวพระราชดำริ ในเรื่อง เศรษฐกิจ การเกษตร การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ฯลฯ ล้วนเป็นตัวอย่างให้ พสกนิกรนำเอาภูมิปัญญาสากลมาใช้ร่วมกับภูมิปัญญาไทยอย่างผู้รู้จักตนเอง สามารถเลือกทางเดินชีวิตอย่างมีเป้าหมายและพึ่งพาตนเองได้ (บุษบง ตันติวงศ์. 2550. หน้า 9-11) 

เมื่อได้เห็น พระฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ในหนังสือเจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์ พระนิพนธ์ในสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ยิ่งย้ำเตือนให้เราทุกคนได้รู้ถึง คุณค่าของธรรมชาติกับการเล่นของเด็ก ดังที่ท่านอาจารย์บุษบง ตันติวงศ์ ได้กล่าวไว้ว่า “การเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและวัฒนธรรมเป็นเรื่องจำเป็นมากในการพัฒนาปัญญาให้รู้จักใช้เหตุผลอย่างแยบคาย และต่อเนื่องกันทั้งด้านวัตถุและจิตใจ” 

การเล่น” ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเด็ก ไม่ว่าเด็กในช่วงวัยใดต่างก็ต้องการการเล่น การเล่นสำหรับเด็กนั้นมีความหมายสำคัญเกินกว่าที่ผู้ใหญ่จะคาดถึง เพราะมันคือหัวใจ ที่ช่วยให้สมองของเด็กเติบโต แต่ต้องเป็นการเล่นที่เหมาะสมกับพัฒนาการ ความเพลิดเพลิน ที่เด็กได้รับจากการเล่น เป็นการเปิดประตูการเรียนรู้ต่างๆ ทุกครั้งที่ ได้ยิน ได้เห็น จับต้อง ลิ้มรส หรือได้กลิ่น จะมีการส่งสัญญาณไปยังสมอง ยิ่งการเล่นมีความหลากหลายมากเท่าใด การเชื่อมโยงของเซลล์สมองก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อมีการเชื่อมโยงมาก สติปัญญาของเด็กในด้านต่างๆ ก็จะพัฒนาตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ความคิดรวบยอด การแก้ปัญหา รู้จักลองผิดลองถูก 

“อย่ามองการเล่นของเด็กว่า เล่นอะไร เพราะคำตอบคือเล่นของเล่น แต่ถ้าคิดต่อว่า เล่นอย่างไร ก็จะเห็นสิ่งที่นำมาเล่น ซึ่งอาจไม่ใช่ของเล่นทั่วไป ...ของใช้ ...ท่อนไม้...ใบไม้...ก้อนหิน...กะลา สารพัดสิ่งของที่นำมาเล่นต้องผ่าน กระบวนการคิด ว่าจะเล่นอย่างไร ถ้าเล่นหลายคนก็ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ปัญหา” (ชีวิน วิสาสะ. 2546. หน้า 58) 

ผู้เขียนเองยังแอบรู้สึกภูมิใจอยู่ลึกๆ เมื่อย้อนไปถึงอดีตในวัยเด็ก เป็นช่วงเวลาที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับธรรมชาติกับชีวิตชนบทในส่วนหนึ่งของภาคเหนือ นึกถึงความสุข กับการเล่น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความชื่นบาน ดูเสมือนเป็นความทรงจำอันมั่นคงที่ไม่เลือนหาย ชีวิตในวัยเด็ก เต็มไปด้วยการผจญภัย “สิ่งแวดล้อมทุกสิ่งอย่างล้วนแล้วแต่เป็นโลกของการเรียนรู้ที่น่าตื่นเต้น” ของเล่นเป็นลักษณะการ หยิบยืมมาจากธรรมชาติ เนื่องจากหน้าบ้านเป็นทุ่งนาจึงมี “ดินเหนียว” เป็นของเล่นที่ใกล้มือที่สุด ได้ปั้นรูปสัตว์ต่างๆ ตามแบบที่ตายายปั้นให้ดูบ้าง หรือคิดออกแบบ ปั้นเองแล้วตั้งชื่อผูกเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาบ้าง ไม่รู้ตัวหรอกว่านั่นคือการได้ฝึกกล้ามเนื้อมือและทักษะทางภาษา นอกจากได้เรียนรู้เกี่ยวกับดิน ยังเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อาศัยอยู่ใน ทุ่งนาเช่น ไส้เดือน กบ เขียด คางคก หอย ปู ปลา และสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย 

หลังบ้านที่เป็นสวนมีแม่น้ำสายเล็กๆ ไหลผ่าน ทำให้เกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับน้ำและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำ ในสวนหลังบ้าน มีต้นหมากซึ่งจะผลัดกิ่งก้านอยู่เสมอ เมื่อแก่ก็จะหลุดลงมา ทั้งกาบ ซึ่งจะมีลักษณะโค้งโอบขึ้นมา เด็กลงไปนั่งได้ ใช้เป็นรถลากอย่างวิเศษ คนนั่งจะจับขอบ ทั้งสองของกาบหมากให้แน่น ส่วนคนลากจะจับตรงปลายที่มีใบ แล้ววิ่งไป พอเหนื่อยก็จะผลัดมานั่งบ้าง ผู้เขียนกับน้องสาวเรียกของเล่นชิ้นนี้ว่า “รถวิเศษ” หากเหนื่อยจากการเล่น “รถวิเศษ” เราก็เปลี่ยนบรรยากาศ หันไปมีส่วนร่วมกับพ่อแม่ที่กำลังดูแลต้นมะม่วงกับต้นกล้วย เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คงช่วยได้แต่รินน้ำเย็นๆ ส่งให้พ่อกับแม่ดื่มคลายร้อนเพียงเท่านี้ท่านทั้งสองก็ชื่นใจ นอกจากความภูมิใจที่ได้ทำความดีแล้ว เราก็มักจะได้ “กังหันใบมะม่วง” จากแม่ และ “ปืนก้านกล้วย” จากพ่อ เป็นรางวัลพิเศษทุกครั้งไป หลังจากนั้นเราก็จะไม่รบกวนการทำงานของท่านเพราะเด็ก ก็จะไปทำงานของเด็กเช่นกัน เพราะ “การเล่น แท้จริงคือ การทำงานของเด็ก” (นภเนตร ธรรมบวร. 2549. หน้า 131) 

ในฤดูหนาว เด็กผู้หญิงมีวิธีคลายหนาว โดยการเล่น “มอญซ่อนผ้า” นั่งเป็นวงกลม รับแดดอุ่นๆ ในยามเช้า อุปกรณ์ในการเล่น คือ ผ้าเช็ดหรือเก็บเอาใบไม้ขนาดใหญ่ๆ มา 1 ใบ พร้อมบทเพลงประกอบการเล่นเพื่อความรื่นเริง นอกจากการเคลื่อนไหวร่างกาย การใช้ไหวพริบและรู้จักสังเกตเหตุการณ์ต่างๆ แล้วเด็กยังได้ในเรื่องของความซื่อสัตย์และการรักษากฎกติกา ในการเล่นอีกด้วย ส่วนเด็กผู้ชายมักจะแยกพื้นที่เล่นไปอยู่อีกมุมหนึ่ง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องการสมาธิ การตัดสินใจ และอาศัยความกล้า ท้าทายความสามารถอยู่กับการทรงตัวให้ได้บน “ไม้ต่อขาสูง” ซึ่งทำจากไม้ไผ่ที่มีความยาวเท่ากัน 1 คู่ สูงกว่าตัวเด็ก (ความสูงประมาณ 200 - 300 ซม.) และต่อท่อนไม้เล็กๆ ยื่นออกมาสำหรับไว้เหยียบทั้งด้านซ้ายขวา บ้างก็มีแบบสูงจากพื้นเกือบถึงเข่าพอที่ก้าวขึ้นไปเหยียบได้ พี่ที่โตๆ หน่อยมีสูงเกือบถึงเอว เวลาจะขึ้นไปเหยียบทีก็ต้องปีนไปบนโต๊ะ เสียงร้องตะโกนไชโยๆ ด้วยความภาคภูมิใจดังขึ้นมาเป็นระยะๆ เวลาที่พวกเค้าสามารถทรงตัวบน “ไม้ต่อขาสูง” และก้าวเดินได้ แรกๆ ก็มีรอยถลอกกลับบ้านบ้างแต่ทุกคนก็สนุกสนาน และเกิดการเรียนรู้ ได้เรียนวิทยาศาสตร์ไปแบบไม่รู้ตัว เรื่องของจุดศูนย์ถ่วง พวกเราค้นพบว่าถ้าหากเราสามารถกำหนดจุดศูนย์ถ่วงได้ดีตัวเรากับไม้ต่อขาสูงเราก็จะไม่เสียหลักและทำให้เราเดินได้ง่าย การเล่นอีกอย่างที่เป็นที่นิยมเล่นไม่รู้เบื่อ สามารถเล่นด้วยกันได้ทั้งชายหญิง ทั้งพี่และน้อง บางทีลุงป้าน้าอาก็มาประลองความสามารถกันด้วยความสนุกสนาน คือการเล่น “สะบ้า” สะบ้าเป็นไม้เถา ลูกเป็นฝักยาวๆ ห้อยลงมา แต่ละฝักจะมีลูกประมาณ 3-8 เม็ด ลูกสะบ้าจะมีลักษณะกลมแบน ตรงกลางนูนเล็กน้อยใช้กลิ้งหมุนไปบนพื้นเรียบๆ ได้ดี บางครั้งเด็กๆ ก็เอาสะบ้า 5-10 ลูก วางตั้งกับพื้นดินเป็นแถวเรียงหน้ากระดาน แล้วกำหนดจุดยืนหรือจุดยิง ให้ห่างออกไปแล้วแต่ว่าจะ สร้างข้อตกลงร่วมกัน แบ่งลูกสะบ้า (ลูกยิง) ให้ผู้เล่นเท่าๆ กัน แล้วผลัดกันโยนให้สะบ้าที่ตั้งไว้ล้มลง นับแต้มว่าใครโยนให้ล้มได้มากกว่า คนนั้นเป็นฝ่ายชนะ ผู้เขียนจะสนุกเป็นพิเศษถ้าได้เล่นกับพ่อเพราะข้อตกลงที่สร้างขึ้นนั้นมักจะเอื้อสำหรับลูกเสมอ เช่น ได้ยืนในจุดที่ใกล้กว่า ได้ลูกยิงมากกว่า เป็นต้น การเล่นชนิดนี้สำคัญที่เป็นการฝึกความแม่นยำ ในการยิงเป้าหมาย กะระยะทาง และเป็นการฝึกกล้ามเนื้อมือให้ประสานสัมพันธ์กับสายตา ลูกสะบ้าเพียงหนึ่งฝักสามารถพลิกแพลงวิธีการเล่นต่างๆ ได้อย่างมากมายหลายรูปแบบโดยไม่มีผิดไม่มีถูก 

เล่นแล้วเกิดคุณค่า ในแง่ของพัฒนาการ ได้รับการพัฒนาทางด้านกล้ามเนื้อ ร่างกาย อารมณ์ สังคม จิตใจ และสติปัญญา ได้พัฒนาความคิด สิ่งสำคัญคือ เกิดความภาคภูมิใจ ในตนเอง ความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นการเล่นที่ต่อยอดทางความคิดไปเรื่อยๆ เหนือสิ่งอื่นใดคือความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว 

การที่ผู้ใหญ่ได้เล่นกับเด็ก นอกจากจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กแล้ว ยังเป็นการสร้างความรัก ความผูกพัน ระหว่างกันด้วย ดร.วรนาท รักสกุลไทย บอกว่า การให้เด็กได้ลงมือเล่นเองจะทำให้เด็กเกิดความคิดออกแบบ เมื่อทำสำเร็จเด็กจะเกิดความภาคภูมิใจ ของเล่นก็ควรเป็นของเล่นที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เป็นของเล่นปลายเปิดที่ไม่มีคำตอบถูกผิด ทำให้เด็กได้ลองผิดลองถูกซึ่งเด็กจะเกิดการเรียนรู้ และมีความสุขที่ผู้ใหญ่เคารพการตัดสินใจของเขา 

นอกเหนือจากภาพแห่งความสุขจากการเล่นแล้ว เรายังจดจำภาพของคนเฒ่าคนแก่ นั่งทำของเล่นพื้นบ้าน ของเล่น ซึ่งเปรียบเสมือนมนต์วิเศษที่เรียกให้เด็กๆ มาขลุกอยู่กับคนแก่ เฝ้าดู เฝ้าคอย ของเล่น หน้าตาแปลกๆ ไม่เคยพบเห็นมาก่อน จะสำเร็จออกมาให้พวกเด็กได้เล่น คนแก่เองก็สุขใจ ที่ลูกหลานอยู่ใกล้ชิด คอยถามไถ่ ซักถาม พูดคุยนอกจากนั้น ของเล่นพื้นบ้านเหล่านี้ยังเป็นตัวเชื่อมให้คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ได้ใกล้ชิดกับคนแก่และลูกหลานอีกด้วย คนเฒ่าคนแก่ก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างหงอยเหงา โดดเดี่ยวเดียวดายอีกต่อไป พวกเขามีความสุขใจที่รู้ว่าตนเองยังมีค่ามีความหมาย 

ของเล่นจากวัสดุธรรมชาติ” มีเสน่ห์อยู่ตรงที่ทำด้วยมือ ทำด้วยความรัก ด้วยจิตใจ จึงเป็นของที่มีคุณค่า และสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาของท้องถิ่นนั้นๆ ของเล่นพวกนี้มีความอ่อนโยนสามารถเชื่อมโยงเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสังคม ส่งเสริมให้เด็กมีสายใยร่วมกัน ในขณะที่เด็กเล่นเป็นกลุ่ม ผู้ใหญ่สามารถสอดแทรกเรื่องความเมตตา ความมีน้ำใจ คุณธรรมจริยธรรม ซึ่งถ้าจะกล่าวไปแล้วมีมากมายนับไม่ถ้วน อาทิ เช่น 
ของเล่นที่ต้องอาศัยแรงดันอากาศและแรงยก เช่น กังหันใบลาน กังหันเสียง กังหันไม้ไผ่เครื่องบินร่อน บั้งโพ๊ละอัดลม จานบินจีน จานบินญี่ปุ่น จานบินไทย กังหันบิน ปืนอัดลมจุกก๊อก ว่าว เรือป๊อกแป๊ก ฯลฯ 
ของเล่นที่ต้องอาศัยความสมดุล มีคาน ล้อ เพลา เป็นส่วนประกอบ เช่น รถไม้ สามล้อ ตำข้าว เรือสาน งูไม้ไผ่ เรือเวียดนาม นกจูง สามล้อ คนเลื่อนไม้ ม้าโยก หมุนถ่วง บาร์มือ ฯลฯ 
ของเล่นที่เด็กได้เรียนรู้เรื่องเสียง เช่น ปี่เสียงนก ขลุ่ยเล็ก นกหวีด จักจั่น ป๋องแป๋ง ลูกข่างเสียง โหวดเล็ก แคนเสียง ฯลฯ 
ของเล่นที่ต้องอาศัยแรงในการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ เช่น ธงสะบัด ลูกข่างตะปู หุ่นชัก กังหันมือ/กำหมุน ปืนหนังยาง งูกินนิ้ว ควายกะลาวง ฯลฯ 

ตัวอย่างของเล่นและการละเล่นดังกล่าวข้างต้นมีหลายท่านที่ลืมวิธีการเล่น หรือเด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักเลยก็อาจเป็นได้ เพราะมาถึงยุดปัจจุบันนี้ เด็กรุ่นใหม่เป็นอีกแบบหนึ่ง คือการเล่นใช้วัสดุธรรมชาติน้อยลงและส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาว่างหันหน้าเข้าจอโทรทัศน์เสียมากกว่า จะไปออกกำลังกลางแจ้ง หรือนั่งจับกลุ่มเล่นอย่างแต่ก่อน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกมพื้นเมืองค่อยๆ ถูกลืมไปและขาดตอนอย่างน่าเสียดายคือ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่มาพร้อมๆ กับเด็ก รุ่นนี้ ลานดินลานบ้านที่เด็กรุ่นเก่าเคยเล่น กลายเป็นถนนหนทางและบ้านเรือนหมดแล้ว ความใกล้ชิดกับธรรมชาติของเด็กลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งมีโทรทัศน์ เกมกด เกมคอมพิวเตอร์เข้าไป การละเล่นต่างๆ ก็ถูกลืมหมดความสนใจเร็วขึ้น 

ถ้าจะนับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องอนิจจัง ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยไป ก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก เด็กจะดูโทรทัศน์หรือขอเงินไปซื้อของเล่นญี่ปุ่น ฮ่องกง ก็ไม่คำนึง ดีไปอย่างหนึ่ง แต่ถ้าอยากให้เด็กได้ออกกำลังกายกลางแจ้ง ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ หรือได้สนุกสนานแบบรวมกลุ่มเล่น ก็ควรพาไปเล่นเกมบ้าง และถ้าได้สอดสอนให้รู้จักกับการเล่นแบบพื้นเมืองด้วย สักอย่างสองอย่างก็คงจะดีไม่น้อย เด็กจะได้รู้ว่าประเทศไทยก็มีเกมพื้นเมืองสนุกๆ เล่นกับเขาหลายอย่างเหมือนกัน (เอนก นาวิกมูล. 2539. หน้า 123-124) 

ผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมจัดกิจกรรม และอบรมสัมมนาด้านสื่อการเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัย กับคุณครูของโรงเรียน และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจังหวัดต่างๆ ในโครงการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้รับกลับมาทุกครั้งคือความประทับใจ และรู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างมากที่คุณครูทุกคนสามารถ หยิบยกเอาความโดดเด่นในท้องถิ่นของตนออกมานำเสนอในรูปแบบของสื่อการสอน สำหรับเด็กปฐมวัยได้อย่างสมภาคภูมิ ไม่ว่าจะเป็น การประดิษฐ์ภาพและแต่งคำคล้องจองสอนเด็กเกี่ยวกับผ้าหม้อฮ่อมและขนมจีนของจังหวัดแพร่ ผลงานการประดิษฐ์แก้วกระดาษ ของเล่นจากลูกย่าง ที่จังหวัดพังงา การสานปลาตะเพียน เครื่องเล่นดนตรีไทยแบบจิ๋ว และการจัดทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาไทยหลายๆ แห่งให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ในจังหวัดอ่างทองและพระนครศรีอยุธยา ครั้งล่าสุดที่ศูนย์พิษณุโลก ทุกคนต้องทึ่งกับผลงานที่คุณครูหลายจังหวัดนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็น ดอกไม้ประดิษฐ์จากข้าวเหนียว หมูน้อยน่ารักจากใยบวบ ฯลฯ 

ครั้งแรกที่เจอกัน เมื่อพูดคุยถึงอุปสรรค์ในการจัดการเรียนการสอน มักจะได้ฟังคำบอกเล่าที่ออกมาในลักษณะความน้อยเนื้อต่ำใจ และเรื่องที่มักจะพูดถึงบ่อยที่สุด คือเรื่องของ สื่อการเรียนการสอน คุณครูหลายคนมักจะบอกว่าตนเองไม่มีความพร้อมเรื่องสื่อฯ อุปสรรค์ คือความเป็นชนบท และการห่างไกลความเจริญ แต่เมื่อลองมาคุยกันถึงแก่นแท้ของการ จัดการศึกษาแล้วทำให้เราพบความจริงที่ว่าการศึกษาปฐมวัยนั้นมุ่งเน้นการพัฒนาเด็กบนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดู และส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติ และพัฒนาการของเด็กแต่ละบุคคล ภายใต้บริบททางวัฒธรรม อารยธรรม และวิถีชีวิตทางสังคม ซึ่งมีลักษณะต่างกัน 

พรบ. การศึกษา 2542 มาตรา 7 ระบุไว้ว่า “ในกระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รู้จักรักษา และส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเคารพกฎหมายความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีความภาคภูมิใจในความ เป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมและของประเทศชาติ รวมทั้งส่งเสริมศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้ อันเป็นสากล ตลอดจนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพึ่งพาตนเอง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รู้และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง” 

“บรรยากาศในการเรียนรู้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากของรูปแบบฯ บรรยากาศที่อบอุ่นงดงามด้วยพลังธรรมชาติรอบตัว สะท้อนจุดยืนของรูปแบบฯ ในการปกป้องธรรมชาติของวัยเด็ก” (บุษบง ตันติวงศ์. 2550. หน้า 36

สุดท้ายคุณครูทุกคนจึงได้ข้อสรุปว่าสภาพแวดล้อมที่คุณครูบอกว่าเป็นชนบท อยู่ห่างไกลความเจริญนั้นไม่ใช่อุปสรรค์ของการจัดการเรียนรู้และมันกลับตรงกันข้ามเพราะแท้จริงมีคุณค่ามหาศาลแอบแฝงอยู่ และการใช้ของเล่นที่เป็นธรรมชาติที่อยู่รอบตัว เป็นการเล่นที่มีคุณค่าในลักษณะที่สามารถเชื่อมโยงไปสู่วิถีชีวิต เราจะไม่มองว่าของเล่นที่ดีต้องราคาแพงเท่านั้น เพราะนั่นเป็นความคิดที่ผิด ของเล่นที่ได้จากวัสดุธรรมชาติ และการละเล่นพื้นบ้านต่างๆ ของไทยเรา มีคุณค่าควรสืบสานและอนุรักษ์ไว้ เพราะเราต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ของเล่นพื้นบ้านเหล่านี้ แทบจะเรียกว่าได้หายไปจากโลกแห่งของเล่นไปแล้ว เพราะด้วยยุคสมัยและกาลเวลาที่ผันผ่านไป ของเล่นพื้นบ้านเหล่านี้กลับกลายเป็นของเล่นโบราณที่ถูกหลงลืมไปแล้วจากสังคมไทย และนับวันก็ยิ่งจะหาของเล่นพื้นบ้านที่สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนรุ่นก่อนมาเล่นได้ยากเต็มที 

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2559

ต้นแบบของการศึกษา

จะเห็นว่าในปัจจุบันเราได้ยินคำว่า “ต้นแบบ” ในวงการศึกษามากมาย ที่ได้ยินบ่อยมาก คือ “ครูต้นแบบ” ต่อมาก็มี โรงเรียนต้นแบบ ศึกษานิเทศก์ต้นแบบ และ ต่อ ๆ ไปก็จะมี ผู้บริหารต้นแบบ นักเรียนต้นแบบ ผู้ปกครองต้นแบบ ชุมชนต้นแบบ ภารโรงต้นแบบ ฯลฯ
            มีใครเคยสงสัยไหมว่า “ต้นแบบ” คืออะไร ทำไมต้องมีครูต้นแบบ เกิดประโยชน์อะไรถึงจะต้องคัดเลือกกันด้วยกระบวนการยุ่งยาก ซับซ้อน ประเมินแล้วประเมินเล่า เสียงบประมาณมากมาย มีหลายหน่วยงานทำเรื่องเดียวกัน จนกลายเป็นว่า ต้นแบบของใครจะดีกว่า ? แล้วก็ได้ต้นแบบมาไม่ถึง 5% ของครูทั้งหมด มีการยกย่องเชิดชู เผยแพร่ ออกข่าววิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ฯลฯ แล้วคนที่ไม่ได้เป็นต้นแบบ จะได้อะไร รู้สึกรู้สาอะไรกับ “ต้นแบบ”
            เป็นโอกาสดีของผู้เขียนได้ไปร่วมเทิดพระเกียรติสมเด็จย่า กับรองศาสตราจารย์ บุญนำ ทานสัมฤทธิ์ ในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 101 ปี ณ อาคาร 3 คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2544 มีวิทยากรที่ทรงคุณงามความดี ความรู้ ภูมิปัญญาชั้นนำของประเทศหลายท่าน และมีท่านหนึ่งได้พูดเรื่อง “ต้นแบบ” ว่า พระมหากษัตริย์ของเรามี “ต้นแบบ” ที่ทรงคุณมหาศาลที่หล่อหลอมพระองค์ท่านให้เป็นกษัตริย์ที่สถิตย์ในดวงใจของปวงชนชาวไทย นั่นคือ  “สมเด็จย่า” แม้ว่าสมเด็จย่า จะจากพวกเราไป แต่พระองค์ฝากสิ่งที่สำคัญยิ่งไว้ให้ชาวโลกแล้ว วิทยากรที่กล่าวถึงคือ พระเทพโสภณ (ประยูร ธมมจิตโต) อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
            พระคุณเจ้าได้สรุปความสำคัญของคำว่า “ต้นแบบ” ว่ามี 2 นัย
            นัยแรกคือต้นแบบในฐานะเป็นแม่แบบ เพื่อให้ผู้ดูแบบได้เอาอย่าง ศึกษาตามพฤติกรรมต้นแบบ แล้วทำตามแบบ เลียนแบบ ต่อมาก็อาจ ประยุกต์แบบ
            นัยที่สองคือ ต้นแบบในฐานะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการใฝ่รู้ใฝ่เรียน เป็นกำลังใจแก่ผู้ดูแล กระตุ้นให้ผู้ดูแบบสร้างสรรสิ่งดีงาม ต้นแบบตามนัยนี้อาจไม่ต้องมีการถ่ายทอดจากต้นแบบสู่ผู้ดูแบบ    ไม่ต้องสอนกันตรง ๆ เพียงแค่ผู้ดูแบบ....ได้เห็น... ได้รับฟังต่อ ๆ กันมาได้รับรู้ก็เกิดความปลื้มปีติ ศรัทธาเชื่อมั่น เป็นขวัญกำลังใจ แม้ไม่รู้จัก แม้เพียงแค่มอง ผู้ดูแบบก็ได้อานิสงส์มากมาย แค่อยู่ให้เห็นก็เป็นแรงบันดาลใจมหาศาล”
            พระคุณเจ้ายังกล่าวถึงการศึกษาด้วยว่า การศึกษาถ้าไม่มีแบบอย่างที่ดีเป็นไปไม่ได้ การศึกษาเป็นระบบกัลยาณมิตร เป็นพรหมจรรย์ การมีต้นแบบที่ดีย่อมเป็นกำลังใจ ครูควรต้องเป็นแบบอย่างที่ดีชี้นำทางสว่างแก่ศิษย์ ต้นแบบแห่งการเรียนรู้มีลักษณะสำคัญ 3 ประการ คือ ต้นแบบสอนให้รู้ ต้นแบบทำให้ดู และต้นแบบอยู่ให้เห็น หากครูเป็นต้นแบบที่ดี เป็นกัลยาณมิตรของศิษย์และเพื่อนครู ก็ย่อมจะเกิดผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ เกิดครูดี ศิษย์ดีต่อเนื่องขยายวงต่อ ๆ กันไป ผู้ที่มีวิญญาณแห่งต้นแบบการเรียนรู้ ย่อมจะไปเหน็ดเหนื่อยในการถ่ายทอด
            จุดเริ่มต้นของการเกิดแรงบันดาลใจในชีวิตผู้ดูแบบ คือการ ได้รู้ ได้ดู ได้เห็นต้นแบบ เกิดศรัทธาต่อต้นแบบ เกิดแรงบันดาลใจให้ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน เลียนแบบของต้นแบบ หากเราเผยแพร่ตัวแบบที่ไม่เหมาะสมต้นแบบชองการกระทำในอบายมุข ต้นแบบของการฉ้อราษฎร์ ต้นแบบของการหยาบคายในกิริยาและวาจา ต้นแบบของการประจบสอพลอ ฯลฯ สังคมจะดูต้นแบบที่น่าชื่นใจเป็นแรงบันดาลใจให้สร้างคุณภาพดีแก่เยาวชน แก่ประเทศชาติจากที่ไหน
            จริงอยู่ดังที่ขงจื้อกล่าวไว้ “คนดี คนเลว เป็นครูได้ทั้งหมด เพราะเมื่อเห็นคนดี ก็เลียนแบบ เห็นคนเลวก็เลียนแบบ” แต่อยากถามว่าผู้ที่จะแยกแยะดี / เลว ได้ชัดเจนต้องมีวุฒิภาวะเพียงใด เยาวชนของเราบางคนยังมีวุฒิภาวะไม่ถึงพร้อม โดยเฉพาะถ้าเห็นตัวแบบนั้นเป็นครู เป็นพ่อ – แม่ เขายิ่งอาจสับสนว่าเขาควรเลียนแบบอย่างที่เห็น ใช่หรือไม่
            พวกเราชาวครูทั้งหลาย คงทราบแล้วว่า ครูต้นแบบ โรงเรียนต้นแบบ ศึกษานิเทศก์ก็ต้นแบบ และต้นแบบอีกสารพัดที่กำลังจะตามมา ทรงคุณค่าของการเป็นแบบแก่ครู และสังคมเพียงใด
            ต้นแบบต้องทำงานหนักและเหนื่อยทั้งเพื่อคงรักษาการเป็นต้นแบบ อีกทั้งถ่ายทอด ขยายเครือข่ายแก่ผู้ดูแบบ ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ แต่ท่านเหล่านั้นคงไม่เหน็ดเหนื่อยต่อการสอนการเผยแพร่เพราะ.......ท่านมีวิญญาณแห่งต้นแบบ พวกเรามาร่วมเป็นกำลังใจให้ต้นแบบกันเถอะค่ะ ไม่ว่าท่านจะเป็นต้นแบบจากองค์กรไหน ท่านก็เป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้พบเห็นได้เสมอ ทั้งที่ท่านรู้ตัวและไม่รู้ตัว ท่านได้ทำบุญอันยิ่งใหญ่นัก

            สำหรับบางท่าน.......แม้ไม่มีองค์กรใดมารับรองว่าท่านเป็นต้นแบบ แม้ท่านส่งผลงานเข้ารับเลือกเป็นต้นแบบแล้ว......ท่าน ไม่ได้รับเลือก   แต่ท่านอาจเป็นแรงบันดาลใจ
             เป็นต้นแบบของดวงตาคู่น้อย ๆ ที่จับจ้องดูทุกกิริยาของท่าน และ
            ท่านเป็นต้นแบบตั้งแต่มีเสียงเรียกท่านว่า “คุณครู”

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

8 คำพูด...ที่ไม่ควรพูดกับลูก คำพูดที่ปิดกั้นพัฒนาการเด็ก

                 8 คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก คำพูดที่ปิดกั้นพัฒนาการเด็ก

                 เด็ก ๆ ที่อยู่ในช่วงของวัยเรียนรู้ มักจะเป็นคนช่างสังเกตและจดจำรายละเอียด โดยเฉพาะคำพูดของผู้ใหญ่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องระมัดระวังคำพูดเป็นอย่างยิ่งนะคะ เพราะอาจจะส่งผลเสียต่อพัฒนาการเด็กได้ วันนี้เลยมีคำต้องห้ามมาฝากกัน ไปดูกันเลยค่ะว่ามีคำอะไรที่ไม่ควรพูดเพราะอาจจะทำให้ปิดกั้นพัฒนาการเด็กบ้าง  
1. ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
                คำพูดนี้ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ไม่ชอบกันทั้งนั้นใช่ไหมละคะ ฟังแล้วรู้สึกเสียความมั่นใจ ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะโมโหหรือโกรธสักแค่ไหน ก็ไม่ควรเผลอพูดคำนี้ออกมาเด็ดขาด เพราะนั้นจะทำให้เด็กไม่กล้าจะลองทำสิ่งใหม่ๆ พัฒนาการเด็ฏก็จะย้ำอยู่กับที่ และอาจจะไม่กล้าแสดงออกอีกต่อไป ดังนั้นควรใช้คำพูดในเชิงบวกเข้าไว้ ค่อย ๆ สอน ค่อย ๆ แนะนำและให้กำลังใจจะเป็นผลดีกว่านะคะ
2. หุบปากแล้วอยู่เงียบ ๆ  
               เด็กที่อยู่ในวัยที่กำลังหัดพูด มักจะชอบพูดไปตามประสาหรือพูดอยู่ตลอดเวลา หากเด็กพูดคำที่ไม่เหมาะสม คุณพ่อคุณแม่ก็ควรพูดหรือสอนกับลูกดีๆ อย่าแสดงอาการแสดงรำคาญเวลาที่ลูกถามหรือสงสัย เพราะเด็กจะไม่กล้าถาม ไม่กล้าแสดงออก และรู้สึกเก็บกด และพัฒนาการของก็จะช้าลง เด็กก็จะไม่มีความสุขทั้งในการเรียนและเล่นกับเพื่อน ๆ นะคะ 
3. ต้องมีความเป็นลูกผู้ชาย  
คำว่าต้องมีความเป็นลูกผู้ชายนั้น ไม่ควรพูดกับลูกนะคะ เพราะจะเป็นการปิดกั้นพัฒนาการเด็ก ลูกของคุณอาจจะสับสนว่า การเป็นลูกผู้ชายนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง เด็กอาจจะรู้สึกสับสนและลังเลในสิ่งที่จะทำ และไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นถูฏหรือไม่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรที่จะแนะนำพฤติกรรมความเป็นผู้นำให้ลูกได้เห็นป็นตัวอย่างที่ถูกต้อง
4. ทำแบบนี้เดี๋ยวไม่รักนะ  
เพราะว่าคำพูดเหล่านี้จะไปกระทบความรู้สึกเบื้องลึกในจิตใจลูก อย่าคิดว่าเป็นแค่คำพูดธรรมดาเอง ไม่มีอะไร ลูกคงรู้อยู่แล้วว่าพ่อแม่รัก แต่ในความเป็นจริง คำพูดเหล่านี้เป็นตัวบั่นทอนความรู้สึก
5. ทำไมน่ารำคาญอย่างนี้ 
คำพูดนี้ก็เช่นเดียวกันกับคำพูดว่าไม่รักแล้ว เพราะจะบั่นทอนความรู้สึกเชื่อมั่น ความสึกเติมเต็มในใจ อาจจะทำให้เขารู้สึกไม่แน่ใจว่าตกลงพ่อแม่ยังรักเขาหรือเปล่า ซึ่งความมั่นคงทางจิตใจของเด็กเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ การรู้จักแบ่งปัน การรู้จักตัวเองและคนอื่น
6.ทำไมไม่ได้เหมือนลูกคนอื่น ๆ 
การเปรียบเทียบลูกกับพี่ๆน้องๆ หรือเด็กคนอื่นๆ จะทำให้เด็กสูญเสียความมั่นใจ ขาดความเชื่อมั่น ไม่ควรพูดจาเปรียบเทียบลูก ถึงแม้จะทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เด็กอาจจะเก็บไปคิดน้อยใจ ติดค้างอยู่ในใจได้ 
7. อย่าทำแบบนี้เดี๋ยวตำรวจจับ    
การขู่ด้วยการหลอก เช่น หลอกผี หรือเอาตำรวจมาขู่ การขู่เป็นการใช้คำพูดเพื่อสื่อออกมาว่า เมื่อทำแบบนี้แล้วจะเกิดผลอะไรตามมาบ้าง ซึ่งภาษาที่พ่อแม่สื่อสารกับลูกเป็นสิ่งสำคัญในการลำดับความคิดของเด็ก การบอกเหตุและผลที่สอดคล้องกัน ทำให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านภาษาที่ดีกว่า และพัฒนาการทางสมองและการเรียนรู้ก็จะดีตามไปด้วย แต่การขู่ด้วยเรื่องไม่เป็นเหตุผลก็จะทำให้เด็กขาดการเรียนรู้แบบเป็นเหตุเป็นผล และเมื่อโตขึ้นก็อาจจะยิ่งไม่เชื่อฟัง เพราะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง
8. ล้อเลียนเรื่องน่าอาย หรือ ปมด้อย   
การนำปมน้อยมาล้อเลียน หรือเรื่องน่าอายของลูกๆ มาเล่า มาล้อให้คนอื่นฟัง พ่อแม่อาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่ทราบไหมคะว่า อาจทำให้เกิดความเจ็บปวด เสียใจ เป็นปมที่ฝังอยู่ในใจลูกไปตลอดได้ค่ะ และยังมีอีกหลายคำพูดนะคะ ที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนำมาพูดให้ลูกได้ยิน เพราะนอกจากจะไม่เกิดผลดีกับเด็กแล้ว อาจส่งผลกับพัฒนาการของลูกด้วยค่ะ  

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

บทความอนุบาล “เปิดเทอมใหม่เปิดใจ เปิดกาย”

ครูนวนละออง หงษ์ภู
ครู คศ.2 (ครูปฐมวัย)
ศ.ศ.ม.วิจัยและประเมินผลการศึกษา

         เปิดเทอมแล้วคุณครูต้องเตรียมตัว ส่วนเด็ก ๆ ก็ต้องเตรียมใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กปฐมวัยหรือชั้นอนุบาล เนื่องจากเป็นการเริ่มต้นในการห่างจาก พ่อ แม่ เป็นครั้งแรก สิ่งที่ครูต้องจัดหาและเตรียมตัวเองคือ ของเล่น หนังสือนิทาน การ์ตูน และเทคนิคการเก็บเด็กที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของเด็กได้
        เช้าวันแรกของการเปิดภาคเรียนใหม่ ผู้ปกครองจูงมือบุตรหลานมาส่งครูประจำชั้น เด็กน้อย
หน้าตายังสดใสแต่เมื่อผู้ปกครองเริ่มเอ่ยปากออกไป “เดี๋ยวพ่อ, เดี๋ยวแม่มารับนะ” น้ำตาและเสียงกรีดร้องจากเจ้าตัวน้อยก็เริ่มขึ้นพร้อมด้วยเสียงสะอึกสะอื้นของเพื่อน ๆ ร่วมห้องเรียนเดียวกัน
ด้วยความรู้สึกเศร้าใจที่จะโดนทอดทิ้งให้อยู่กับคุณครูและเพื่อนแปลกหน้า คุณครูอนุบาลจึงมีหน้าที่ทำให้เด็กหยุดร้องไห้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย อ่อนโยน เพื่อให้เจ้าตัวน้อยประทับใจ รู้สึกอบอุ่น และอยากอยู่กับคุณครูเพื่อรอเวลานัดหมายที่คุณพ่อ คุณแม่จะมารับกลับบ้าน
        จากประสบการณ์การสอนระดับชั้นอนุบาลที่ผ่านมาเป็นระยะเวลา 11 ปี ทำให้เห็นความแตกต่างบนความสุขในการสอนเด็กอนุบาลทั้งสองระดับชั้น นั่นคือ เด็กระดับชั้นอนุบาล 1 ซึ่งเข้าเรียนเป็นปีแรกจะร้องไห้งอแงเมื่อเริ่มต้นเปิดเทอมแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างลงตัว เด็กหยุดร้องไห้ การทำกิจกรรมต่าง ๆ เริ่มขึ้นเด็กจะเชื่อฟังคุณครู ติดโรงเรียน ของเล่น นิทาน และกิจกรรมที่ครูจัดให้ ครูไม่ต้องสอนการเขียน การอ่านให้กับเด็กเพียงแค่สอนให้รู้จักช่วยเหลือตนเอง ระเบียบวินัย การปฏิบัติตนในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น  แต่สำหรับเด็กระดับชั้นอนุบาล 2 เปิดเทอมใหม่เด็กไม่ร้องไห้งอแง เนื่องจากผ่านการเข้าเรียนในโรงเรียนมาแล้ว 1 ปี ครูระดับชั้นอนุบาล 2 จึงไม่ต้องเหนื่อยมากนักในช่วงแรก แต่เมื่อเริ่มเรียนเด็กในระดับชั้นนี้มีความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ผู้ปกครองคาดหวังเรื่องการเขียน การอ่านกับเด็กเพื่อเตรียมพร้อมในการเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ต่อไป ทำให้ครูระดับชั้นอนุบาล 2 ต้องจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาการเขียน การอ่านให้เด็กมากขึ้น ซึ่งบางครั้งอาจไม่ตรงกับความคาดหวังของผู้ปกครอง อย่างไรก็ตามเด็กระดับชั้นอนุบาลเป็นช่วงวัยที่เหมาะกับการพัฒนาและปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมที่ดีในการดำเนินชีวิต เพราะเด็กมีพัฒนาการด้านต่าง ๆรวดเร็ว สามารถจดจำสิ่งต่าง ๆได้ดี ครู ผู้ปกครอง หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กควรมอบความรัก ความเอาใจใส่กับเด็กเพื่อให้เขาได้รับความรู้ ความรัก ความอบอุ่นพร้อมที่จะเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมต่อไป