ประธานคุรุสภา ชี้จุดอ่อนวิชาชีพปฐมวัย ขาดการจัดการองค์ความรู้ หลายคนเลือกเรียนเพราะไม่รู้จะเรียนอะไร ขาดการดูแลและยกย่องอย่างเหมาะสม แนะให้ขอใบประกอบวิชาชีพสำหรับครูปฐมวัยโดยเฉพาะ ด้านอดีตผู้ทรงคุณวุฒิ สกศ. แนะบริหารจัดการการศึกษาปฐมวัย เน้นห้องเรียนธรรมชาติ สอนเล่นตามสภาพแวดล้อม ดีกว่าสอนตามหลักสูตรภาคบังคับ
ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ ประธานกรรมการคุรุสภา กล่าวในงาน ประชุมทางวิชาการ เรื่อง แนวทางการปฏิรูปการศึกษา : รอยเชื่อมต่อสู่คุณภาพเด็กในอนาคต จัดโดยครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพเยาวชน (สสค.) เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ตอนนี้คนที่มาเลือกเรียนครูเป็นคนเก่งมากขึ้น แต่หน่วยงานในระบบวิชาชีพ ครูเองกลับไม่ได้ส่งเสริมให้คนอยากเป็นครู สามารถอยู่ในวิชาชีพครู และทำหน้าที่ของความเป็นครูให้ดีที่สุดได้
อย่างไรก็ตาม กลุ่มวิชาชีพครูปฐมศึกษา มีข้อด้อยที่ต้องได้รับการแก้ไข ดังนี้
1.องค์ความรู้ด้านปฐมวัยยังกระจัด กระจาย ไม่มีองค์ความรู้ที่ใช้ได้และครบถ้วน ควรมีหน่วยงานกลางในการรวบรวมองค์ความรู้ด้านนี้
2. คนในวงการวิชาชีพปฐมวัย ยังไม่เหมาะสม และไม่จริงจังกับอาชีพนี้ หลายคนเข้าเรียนเพราะไม่รู้จะเลือกอะไร ทั้งที่ครูปฐมวัยสำคัญมากในการพัฒนาเด็ก ไม่ใช่สอนเด็กในโรงเรียนอย่างเดียว แต่สอนคนในสังคมให้เข้าใจเรื่องนี้ด้วย อยากเสนอให้ทุกคนในกลุ่มวิชาชีพปฐมวัย ต้องทำการวิจัยค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ให้เป็นที่เข้าใจในสังคม อีกทั้งการคัดเลือกคนเข้าเรียน เข้าทำงาน ต้องมีความมุ่งมั่น
3. กลุ่มวิชาชีพครูปฐมวัย ต้องได้รับการยกย่องและค่าตอบแทนที่เหมาะสม อย่ามองว่าใครๆก็เป็นได้
4. สมาคมวิชาชีพปฐมวัย ต้องเข้มแข็ง เป็นตัวแทนในการทำความเข้าใจ หรือเรียกร้องในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อปกป้องวิชาชีพของตนเอง
5. วิชาชีพครูปฐมวัย ต้องรวมตัวกันเพื่อให้คุรุสภาออกใบประกอบวิชาชีพสำหรับครูปฐมวัยโดยเฉพาะ เพราะแกนกลางของคุรุสภาอาจจะไม่เพียงพอในการทำหน้าที่ของครูปฐมวัย
ผศ.ดร.เลขา ปิยะอัจฉริยะ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า อดีตการเรียนรู้ของคนเริ่มต้นเมื่อเกิด แต่ 25 ปีให้หลังพบว่าเริ่ม 1 ขวบก็สายไปแล้ว การพัฒนาเด็กต้องเริ่มตั้งแต่ให้ความรู้แก่คนที่จะเป็นพ่อเป็นแม่ เพราะการเรียนรู้ของเด็กเริ่มตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่ในประเทศไทยกลับให้ความสำคัญการศึกษาปฐมวัยน้อย และรูปแบบการจัดการศึกษาก็ยังไม่ชัดเจน เพราะต่อให้มีเจ้าภาพในการดูแลชัดเจน คือ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)และส่งต่อไปยังโรงเรียนอนุบาลต่างๆ แต่การดำเนินการบริหารการศึกษายังไม่ชัด เป็นเพียงภาคบังคับแบบเดียวกันทั้งประเทศ ไม่ได้เป็นการเรียนรู้ตามธรรมชาติ ของเด็กในแต่ละช่วงวัย
"การศึกษาล้มเหลว เพราะลืมดูที่ตัว ผู้เรียน ทุกคนบอกว่านักเรียนสำคัญ เป็นศูนย์กลาง แต่การตีความกลับแตกต่างออกไป ครูบางคน โรงเรียนบางแห่งปล่อยให้เด็กเป็นอิสระจนไม่สนใจการเรียนรู้ ขณะเดียวกัน ระบบการบริหารจัดการ ไม่ใส่ใจเรื่องเด็กและไม่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน ถ้าจะปฏิรูป การศึกษาต้องเริ่มปฏิรูปการบริหารจัดการการศึกษาปฐมวัย จัดการห้องเรียนตามธรรมชาติ เพราะตราบใดที่ห้องเรียนยังเป็นสี่เหลี่ยม และสื่อยังเป็นแบบกล่องเสมือนจริง ไม่ได้ปล่อยให้เด็กได้เรียนรู้ตามธรรมชาติ จากสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆตัวเด็ก เน้นสอบมากกว่าเล่น ปฏิรูปการศึกษาก็จะไม่สำเร็จ" ผศ.ดร.เลขากล่าว
ที่มาของข่าว : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์
อ่านต่อได้ที่: http://www.kruwandee.com/news-id12423.html
วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559
การเล่นกับพัฒนาการเด็กปฐมวัย (Free Play)
ปฐมวัยเป็น วัยที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงในพัฒนาการด้านต่าง ๆ อย่างรวดเร็วของเด็ก นั่นเป็นผลมาจากการพัฒนาของสมองซึ่งจะมีการพัฒนาสูงสุดในวัยนี้ สมองมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องก่อนเกิดจนสู่วัยผู้ใหญ่ เปรียบเสมือนการสร้างบ้านหากรากฐานมั่นคงแล้วบ้านก็มีแนวโน้มแข็งแรงในเด็กปฐมวัยก็เช่นกัน หากสมองมีการเจริญเติบโต มีการสร้างเครือข่ายเป็นอย่างดี เมื่อเติบโตขึ้นก็มีโอกาสที่จะส่งผลดีต่อพัฒนาการในวัยต่อมา แต่ตรงข้ามหากเด็กไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างดี โอกาสที่จะก่อปัญหาต่อพัฒนาการทุกด้านของเด็กก็จะเป็นไปได้สูง
คุณรู้หรือไม่ว่า “สมองของเด็กมีการทำงานสูงสุดขณะที่เด็กเล่น”
นั่นเป็นสภาวะที่สมองของเด็กพร้อมที่จะเรียนรู้ เนื่องจากสมองไม่ตึงเครียดแต่มีภาวะตื่นตัวมีแรงจูงใจและรู้สึกดีดังนั้นหากผู้ปกครองและผู้ดูแลสนับสนุนการเล่นในเด็กปฐมวัยอย่างเหมาะสมแล้ว เชื่อได้ว่าเด็กจะเติบโตเป็นบุคคลที่มีคุณภาพรอบด้านได้ในอนาคต
อย่างไร? ถึงเรียกว่า “การเล่น”
องค์ประกอบที่เข้าข่าย “การเล่น” มีอยู่ 7 อย่างด้วยกัน คือ
1. เล่นโดย ไม่มีเป้าหมาย เด็กเล่นโดยไม่ได้มีเป้าหมายชัดเจน ไม่ได้ตั้งใจเล่นเพื่อให้พ่อแม่ชื่นชม ไม่ได้เล่นเพื่อจะได้ขนมหรือเงินทอง แต่มีเป้าหมายในตัวของมันเองคือเป้าหมายที่จะเล่น
2. เล่นโดย เต็มใจ เด็กเล่นด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เป็นเพราะหน้าที่หรือถูกบังคับ
3. เล่นแบบ สนุก การเล่นทำให้เด็กรู้สึกดี ตื่นเต้น ช่วยทำให้คลายความเบื่อ เหงา
4. เล่นโดย ปราศจากกาลเวลา เมื่อเข้าไปสู่การเล่นเต็มที่แล้ว เด็กจะไม่คำนึงถึงเวลา เด็กอาจเล่นไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่ตระหนักว่านานเท่าไหร่แล้ว
5. เล่นโดย ปราศจากตัวตน เมื่อเล่นแล้วเด็กมักไม่ได้คำนึงว่าตนเองจะดูดีหรือดูงุ่มง่าม ไม่เข้าท่า เด็กจะไม่กังวลถึงภาพลักษณ์ของตนเอง ในโลกจินตนาการเด็กจึงอาจเป็นโน่นเป็นนี่ได้โดยง่าย
6. การเล่น เกิดขึ้นทันที หรือด้นสด เด็กสามารถปรับเปลี่ยน ลื่นไหลตามความคิดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้ ในโลกของการเล่นจึงมีความยืดหยุ่นสูงและเกิดสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นได้ตลอดเวลา
7. เล่นโดยมี ความต้องการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการเล่นมีความสนุก ตื่นเต้น เด็กจึงมีความปรารถนาที่จะเล่นไปเรื่อย ๆ หากเกิดความน่าเบื่อหรืออุปสรรคขึ้น เด็กก็สามารถหาทางปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคนั้น ๆ ให้การเล่นดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
จากองค์ประกอบของการเล่นทั้ง 7 ประการข้างต้น หากกิจกรรมใดไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ กิจกรรมนั้นก็ไม่เข้าข่ายการเล่น เช่น แม่ให้ลูกร้อยลูกปัดเพื่อฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก หรือการเล่นงูไต่บันใด ตามคุณสมบัติของการเล่นขั้นต้นจึงไม่ถือเป็นการเล่น บางครั้งการวิ่งไล่จับเป็นการเล่นแต่บางครั้งไม่เป็นการเล่น นั่นขึ้นกับว่าในแต่ละครั้งความรู้สึกหรือสภาวะทางจิตใจเป็นอย่างไร การเล่นในองค์ประกอบทั้ง 7 ประการนี้ บางท่านจึงเรียกว่า “การเล่นอย่างอิสระ” หรือ Free Play แทน เพื่อไม่ให้สับสนกับการเล่นทั่วไป ในที่นี้หากกล่าวถึงการเล่นหรือการเล่นอย่างอิสระให้ถือเป็นเรื่องเดียวกัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)