วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

ทำอย่างไรให้ทีวีไม่มีภัยแต่ให้คุณค่า

ทำอย่างไรให้ทีวีไม่มีภัยแต่ให้คุณค่า

การเรียนรู้เกิดขึ้นง่ายที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดในชีวิตประจำวันของเด็กที่บ้าน ผู้ปกครองสามารถช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้และการศึกษาที่ดีที่สุดให้เด็กๆ อย่างเป็นธรรมชาติ โดยบูรณาการทักษะเนื้อหาเข้าไปในชีวิตประจำวันของครอบครัว อีกทั้งการส่งเสริมให้เด็ก “รักการเรียนรู้” ยังเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองสามารถทำได้ทุกวัน โดยการฟูมฟัก ความช่างสงสัยเกี่ยวกับโลกรอบตัวของเด็ก และนำสิ่งที่เด็กสงสัยอยากรู้นั้นไปสู่คำตอบด้วยการ สำรวจ และค้นพบด้วยกันกับเด็ก เมื่อเด็กตั้งคำถามหรือบอกข้อสงสัย ผู้ปกครองควรพยายามใช้คำถามย้อนกลับ หรือชักชวนให้เด็กๆ ร่วมกันสำรวจ สืบค้น สังเกต และค้นพบคำตอบร่วมกัน หรือบางครั้งผู้ปกครองอาจจะตั้งข้อสงสัยกระตุ้นให้เด็กร่วมกับผู้ปกครองหาคำตอบบ้างก็ได้ เมื่อเด็กๆ ตระหนักถึงการเรียนรู้ในชีวิตประจำวันอย่างหลากหลายวิธี เด็กก็จะมีนิสัยที่จะสำรวจ สืบค้น สังเกต ทดลอง และต้องการหาคำตอบ ซึ่งเป็นรากฐานที่ดีของการเรียนรู้ที่จะติดตัวต่อไป จนกระทั่งเด็กเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาและหากได้รับการส่งเสริมต่อเนื่องก็จะทำให้เด็กประสบความสำเร็จทางการศึกษาในทุกระดับชั้น 

วิธีการง่ายๆ ที่ผู้ปกครองสามารถต่อยอดการเรียนรู้ของเด็กที่บ้านมีหลากหลายวิธี เช่น 

การพาเด็กไปพิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ หรือสวนสาธารณะ สวนดอกไม้ ผลไม้ และพูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับผลงานหรือสิ่งที่จัดแสดงเกี่ยวกับสัตว์ พืช และความคิดรวบยอดต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการไปเยี่ยมชมสถานที่เหล่านั้น ซึ่งถ้าการพาเด็กไปสถานที่ต่างๆ เหล่านี้สอดคล้องกับสิ่งที่เด็กกำลังสนใจ อยากรู้ หรือเรียนรู้ที่โรงเรียน ก็จะทำให้เด็กได้เห็นสิ่งที่ตนกำลังสนใจ อยากรู้และได้เรียนรู้ ในบริบทของโลกหรือชีวิตจริง อันทำให้การเรียนรู้นั้นมีชีวิตชีวา และมีความหมายต่อเด็กมากขึ้น ผู้ปกครองควรตระหนักว่าเด็กวัยอนุบาลชอบไปสถานที่ซ้ำๆ แต่ละครั้งที่เด็กไปก็จะทำให้เด็กเกิดความเข้าใจและเรียนรู้มากขึ้น อ่านหนังสือให้เด็กฟังบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ พาเด็กไปห้องสมุดและเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เลือกขอยืมหนังสือที่เด็กๆ สนใจ ควรให้เด็กได้เลือกหนังสือนิทานต่างๆ และหนังสือที่ให้ข้อมูลด้วยร่วมกันตามความสนใจของเด็ก หนังสือนิทานหรือหนังสืออ่านเล่นต่างๆ จะช่วยเปิดโลกจินตนาการให้กับเด็ก ส่วนหนังสือที่ให้ข้อมูลต่างๆ จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เด็กๆ เห็น หรือใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น เมื่ออ่านหนังสือให้เด็กฟังแล้ว ควรพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ได้จากการอ่าน หรือความคิดเห็นที่เกิดขึ้นจากการอ่านครั้งนั้น ทั้งของเด็กและของผู้ปกครอง นอกจากนั้นผู้ปกครองควรใช้คำถามเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ทั้งคำถามที่ช่วยเพิ่มจินตนาการ เช่น “ถ้านายพรานไม่มีอาวุธมาด้วย จะจัดการช่วยคุณยายได้อย่างไร” ซึ่งคำตอบนั้นจะไม่มีถูกไม่มีผิด หรือตั้งคำถามเพื่อฝึกความจำ เช่น ถามว่า อะไรอยู่ที่ไหน ตอนนั้นๆ ใครทำหนังสือหล่นไปที่พื้น ฯลฯ หรือถามว่า หลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดอะไรขึ้น เป็นต้น สิ่งที่สำคัญคือผู้ปกครองต้องเป็น ตัวอย่างที่ดีด้วย เช่น อ่านหนังสือให้เด็กเห็นเป็นประจำ และเมื่อพาเด็กไปห้องสมุด ผู้ปกครองควรขอยืมหนังสือของตนเองมาอ่านด้วย สิ่งที่ควรทำความเข้าใจก็คือ เด็กวัยอนุบาลจะชอบให้เล่าเรื่องซ้ำ ซึ่งเป็นธรรมชาติของเด็กวัยนี้ ทุกครั้งที่ผู้ปกครองเล่าเรื่องซ้ำเด็กก็จะได้รับรายละเอียดและเรียนรู้มากขึ้น โดยเฉพาะถ้าผู้ปกครองตั้งคำถามที่ท้าทายเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ถ้าเด็กให้เล่าซ้ำมากเกินไป ผู้ปกครองอาจจะเล่าเรื่องที่เด็กอยากฟังและเพิ่มเติมเรื่องใหม่เป็นรางวัลได้ หรือเริ่มต้นชี้ชวนหนังสือเล่มใหม่ก่อนถึงเวลาของการอ่านหนังสือในแต่ละวัน หาโอกาสในวิถีชีวิตประจำวันให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ไม่ว่าผู้ปกครองจะทำอะไร เด็กสามารถมีส่วนร่วม และเรียนรู้ได้เสมอ ผู้ปกครองอาจจะพูดคุยถึง การชั่ง ตวง วัด เมื่อประกอบอาหาร ทำขนม หรือพูดคุยถึงราคา สลากของผลิตภัณฑ์ ประเภทผลิตภัณฑ์ที่วางร่วมกัน ป้ายบอกว่าอะไรอยู่ที่ไหน เมื่อไปซื้อของที่ตลาดหรือซุปเปอร์มาร์เกต พยายามหาวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยฟูมฟักความสงสัยอยากรู้ของเด็ก ด้วยความสงสัยอยากรู้นั้นจะช่วยจุดประกายและปลูกฝัง “การรักการเรียนรู้” และการดำเนินการหาคำตอบให้เด็กๆ ทำให้สิ่งเหล่านั้นถูกฝังแน่นในตัวเด็กจนกลายเป็นนิสัยที่ดี เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต สนับสนุนการสำรวจสืบค้นแก่เด็ก แทนที่จะให้คำตอบแก่เด็กๆโดยง่าย เมื่อเด็กถามคำถาม ผู้ปกครองควรเสนอวิธีต่างๆ ที่จะทำให้เด็กได้รับหรือพบคำตอบด้วยตัวเด็กเอง การทดลอง การแสดงให้เด็กสังเกตดู และกิจกรรมที่เด็กได้ลงมือทำเอง จะช่วยให้เด็กรักที่จะเรียนรู้ผ่านการศึกษาค้นพบด้วยตนเอง การพาเด็กเดินในละแวกบ้าน ในชุมชนใกล้บ้าน การไปชายหาด สวน ป่า ร้านขายผักผลไม้ ฯลฯ ช่วยให้เด็กได้มีโอกาสและเวลาในการค้นพบสิ่งต่างๆ หลีกเลี่ยงการบังคับยัดเยียดการเรียนรู้ให้แก่เด็ก ถ้าผู้ปกครองมักจะแสดงอำนาจเหนือเด็กในเหตุการณ์ต่างๆ ตะโกน ตะคอกหรือพูดเสียงดังกับเด็กเมื่อเด็กไม่สามารถเข้าใจเรียนรู้บทเรียนหรือทักษะต่างๆ หรือยัดเยียดให้เด็กๆ เรียนคณิตศาสตร์ หรืออ่านหนังสือที่เด็กไม่ต้องการ เด็กอาจจะเริ่มมีความคิดและความเชื่อว่า “การเรียนรู้โดยรวม” นั้นเป็นประสบการณ์ที่เป็นลบ เด็กอาจจะมีทัศนคติไม่ดีต่อการเรียนรู้ เบื่อหน่าย ไม่ต้องการเรียนรู้ ควรส่งเสริมให้เด็กได้มีสิทธิ์มีเสียงที่จะจัดเวลาของการเรียนรู้ด้วยตัวเด็กเองบ้าง ตกลงกันว่าช่วงใด ที่ใด คือที่ๆ จะนั่งทำการบ้าน ฯลฯ อันจะทำให้เด็กเห็นการเรียนรู้ไปในทางบวกและต้องการจะเรียนรู้ต่อไป สิ่งสำคัญคือการที่ผู้ปกครองต้องเข้าใจพัฒนาการเด็กแต่ละวัย แต่ละคน สิ่งที่ให้เด็กเรียนรู้อย่างเป็นทางการต้องไม่ยากเกินความสามารถของเด็กในวัยและช่วงเวลานั้น สิ่งที่ง่ายก็สลับให้ได้บ้างเพื่อให้เด็กรู้สึกว่าตนเองเก่งเกินนั้น แล้วแนะนำสิ่งที่ยากขึ้น ท้าทาย แต่ไม่เกินความสามารถเด็ก สุดท้าย การชมเชยอย่างเป็นรูปธรรม เช่น “ทำได้ถูกตั้ง 5 ข้อ” หรือ “ทำได้จนเสร็จ” หรือ “ทำได้เรียบร้อย” หรือ “ภาพนี้มีหลายสีน่าดูมาก” หรือ “คุณแม่รู้สึกภูมิใจมากที่ลูกพยายามทำจนเสร็จ” ฯลฯ จะทำให้เด็กรู้สึกดี อยากทำ อยากเรียนรู้ต่อไป นอกจากนั้นการชมเชยในสิ่งที่เด็กทำดีเป็นประจำก็จะช่วยให้เด็กรู้สึกดี รับผิดชอบมากขึ้น เช่น “ลูกของแม่รับผิดชอบทำการบ้านตามเวลาทุกวันเลย วันนี้แม่จะให้รางวัลโดยเล่านิทานเล่มโปรดของลูกให้ฟังนะคะ” เป็นต้น สิ่งที่กล่าวมานี้ทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องยากที่ผู้ปกครองจะคิดหาช่องทางและปฏิบัติ ผู้ปกครองที่เอาใจใส่และเสริมสร้างการรักการเรียนรู้ให้เด็กอย่างต่อเนื่อง จะสามารถเห็นผลได้อย่างเด่นชัดในการประเมินผลการเรียนของเด็กที่โรงเรียน โดยเฉพาะเมื่อเด็กเรียนในระดับสูง ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา แต่การฟูมฟักและสร้างการรักการเรียนรู้ให้เด็กนั้น ไม่สามารถจะรอได้ และเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องทำตั้งแต่เด็กยังเล็กในระดับก่อนอนุบาล และช่วงเรียนในโรงเรียนอนุบาล มิฉะนั้นก็อาจจะสายเกินไปได้ อย่างไรก็ตามการส่งเสริมสนับสนุนต้องดำเนินอย่างต่อเนื่องเลยช่วงปฐมวัยนี้ไปด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น